วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

บทที่ 2

บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
การศึกษา
 ในความหมายทั่วไปอย่างกว้างที่สุด เป็นวิธีการส่งผ่านจุดมุ่งหมายและธรรมเนียมประเพณีให้ดำรงอยู่จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง โดยทั่วไป การศึกษาเกิดขึ้นผ่านประสบการณ์ใด ๆ ซึ่งมีผลกระทบเชิงพัฒนาต่อวิธีที่คน ๆ หนึ่งจะคิด รู้สึกหรือกระทำ แต่ในความหมายเทคนิคอย่างแคบ การศึกษาเป็นกระบวนการอย่างเป็นทางการซึ่งสังคมส่งผ่านความรู้ ทักษะ จารีตประเพณีและค่านิยมที่สั่งสมมาจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง นั่นคือ การสอนในสถานศึกษา สำหรับปัจจุบันนี้มีการแบ่งระดับชั้นทางการศึกษาออกเป็นขั้นๆ เช่น การศึกษาปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา ทั้งนี้รวมไปถึงระดับอาชีวศึกษา อุดมศึกษา และการฝึกงาน
                สำหรับประเทศไทย มีกฎหมายบังคับให้ประชาชนไทยทุกคนต้องจบการศึกษาภาคบังคับ และสามารถเรียนได้จนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ในปัจจุบันยังเปิดโอกาสให้มีการเรียนการสอนโดยผู้ปกครองที่บ้านหรือที่เรียกว่าโฮมสคูลอีกด้วย
 คำว่า "education" เป็นศัพท์จากภาษาลาติน ēducātiō ("การปรับปรุง,การอบรม") จาก ēdūcō ("ฉันรู้, ฉันฝึก")
 สำหรับการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มี 3 รูปแบบคือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย
การศึกษาในระบบ
                การศึกษาในระบบ (formal education) เป็นการศึกษาที่กำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและการประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาที่แน่นอน โดยการศึกษาในระบบ สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
 ระดับปฐมวัย
ระดับปฐมวัยเป็นการจัดการศึกษาให้เด็กก่อนวัยที่ต้องศึกษาการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเป็นการวางรากฐานชีวิตเพื่อปูพื้นฐานที่ดีก่อนการเรียนในระดับต่อไป โดยทั่วไปแล้วผู้ที่เข้าศึกษาในระดับนี้มักมีอายุตั้งแต่ 4 - 8 ปี การเรียนการสอนในระดับนี้จะเน้นการสอนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาพัฒนาการของเด็ก ซึ่งเน้นในด้านการพัฒนาร่างกาย จิตใจ สังคม สติปัญญาและอารมณ์ของเด็ก นอกจากนี้ยังเน้นให้เด็กเรียนรู้ทักษะต่างๆผ่านกิจกรรมการเล่นและกิจกรรมเกมส์ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม และเกิดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมเหล่านี้อีกด้วย ซึ่งการใช้เกมส์และการเล่นถือได้ว่าเป็นวิธีการหลักสำหรับสอนเด็กในระดับปฐมวัย โครงสร้างหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยจะมีจุดเน้นทั้งสิ้น 2 ด้านคือ ด้านประสบการณ์สำคัญ ประกอบไปด้วย ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์จิตใจ ด้านสังคมและด้านสติปัญญา อีกด้านหนึ่งคือสาระที่ควรเรียนรู้ ประกอบไปด้วย เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่รอบตัวเด็ก ธรรมชาติรอบตัวและสิ่งต่างๆรอบตัวเด็ก[4]
 ระดับประถมศึกษา
ประถมศึกษาเป็นการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยทั่วไปแล้วการศึกษาในระดับประถมศึกษาจะมีระยะเวลาในการเรียนประมาณ 5 - 8 ปี ขึ้นอยู่กับการวางแผนจัดการศึกษาของแต่ละประเทศ สำหรับประเทศไทยมีจัดการเรียนการสอนในระดับชั้นประถมศึกษา 6 ปี ตั้งแต่ในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงประถมศึกษาปีที่ 6 โดยผู้เข้าศึกษาในระดับประถมศึกษามักจะมีอายุประมาณ 6-7 ปี โดยในปัจจุบันนี้ยังมีเด็กกว่า 61 ล้านคนที่ไม่มีโอกาสได้เรียนในระดับประถมศึกษา ซึ่ง 47% ในจำนวนนี้จะหมดโอกาสการเข้าศึกษาต่ออย่างสิ้นเชิง[5] อย่างไรก็ตาม UNESCO ได้พยายามสนับสนุนให้เกิดการศึกษาสำหรับทุกคน โดยได้ดำเนินการที่เรียกว่าการศึกษาเพื่อปวงชน ซึ่งทุกประเทศจะต้องประสบความสำเร็จในด้านจำนวนคนเข้าศึกษาในระดับประถมศึกษาตามประกาศของ UNESCO ภายในปี พ.ศ. 2558 หลังจากนักเรียนจบชั้นประถมศึกษาแล้วจะสามารถเข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาได้ ซึ่งนักเรียนเหล่านี้มักจะมีอายุประมาณ 11 - 13 ปี
 ระดับมัธยมศึกษา
  การเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษา มัธยมศึกษาเป็นการจัดการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยจัดการศึกษาให้กับนักเรียนที่จบในระดับประถมศึกษามาแล้ว สำหรับผู้เรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษามักจะมีอายุประมาณ 11 - 18 ปี สำหรับการจัดการศึกษาในระดับมัธยมศึกษามีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะกระบวนการเฉพาะด้าน เพื่อนำไปใช้ในการศึกษาระดับสูงต่อไป สำหรับประเทศโดยส่วนใหญ่แล้วการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาถือได้ว่าเป็นการศึกษาภาคบังคับ สำหรับประเทศไทย นักเรียนจะต้องจบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จึงจะถือว่าจบการศึกษาภาคบังคับ อย่างไรก็ตามหลังจากจบระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว นักเรียนสามารถเลือกที่จะหยุดเรียนแล้วออกไปประกอบอาชีพ หรือ เรียนต่อก็ได้ ในกรณีที่เรียนต่อจะมี 2 ระบบให้เลือกเรียน ระหว่างสายสามัญ ซึ่งเป็นการเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีการจัดการเรียนการสอนที่เป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา และสายอาชีพ ซึ่งจะสอนเกี่ยวกับอาชีพทางด้านต่างๆ เช่น งานช่าง และเกษตรกรรม เป็นต้น โดยทั้งหมดนี้รัฐบาลไทยจะเป็นผู้ดำเนินการทางด้านค่าใช้จ่ายทั่วไปจนจบระดับชั้นมัธยมศึกษา
 ระดับอาชีวศึกษา
อาชีวศึกษาเป็นการศึกษาเพื่อเตรียมคนสำหรับการประกอบอาชีพในอนาคต ทั้งในด้านของงานช่างฝีมือ งานธุรกิจ งานวิศวกรรม และงานบัญชี โดยเป็นการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติงานได้จริงๆ ซึ่งแตกต่างจากการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่เน้นให้มีความรู้พื้นฐานมากเพียงพอสำหรับศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย การศึกษาในระดับอาชีวศึกษาจะเน้นให้มีการฝึกงาน เพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีประสบการณ์มากยิ่งขึ้น สำหรับประเทศไทยเริ่มมีการจัดการเรียนการสอนในสายอาชีพตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 โดยในสมัยนั้นเน้นจัดการเรียนการสอนทางด้าน แพทย์ ผดุงครรภ์ ภาษาอังกฤษ พาณิชยการ และครู
 ระดับอุดมศึกษา
การศึกษาในระดับอุดมศึกษา (tertiary, third stage,post secondary education) เป็นการศึกษาที่ไม่ได้บังคับว่าต้องจบการศึกษาในระดับนี้ การศึกษาในระดับนี้เป็นการศึกษาที่สูงขึ้นมาจากการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา การศึกษาในระดับอุดมศึกษานั้นแบ่งได้ออกเป็น 2 ระดับคือระดับปริญญาบัณฑิตและระดับบัณฑิตศึกษา สำหรับการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาเป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยเป็นผู้ดำเนินการ หากผู้เข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาเรียนจบแล้วจะได้รับปริญญาบัตรเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงการผ่านหลักสูตรนั้นๆ
 การที่จะเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาได้นั้นจำเป็นต้องผ่านการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อก่อน ส่งผลให้วิธีการนี้ทำให้มีทั้งผู้ที่ได้สิทธิ์ศึกษาต่อและผู้ที่ไม่ได้สิทธิ์ศึกษาต่อ สำหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษามีความสำคัญมากในการสมัครงาน เพราะมักมีการกำหนดวุฒิการศึกษาขั้นต่ำในระดับปริญญาตรี นอกจากนี้ยังมีความสำคัญในการพัฒนากำลังคนในการพัฒนาประเทศชาติอีกด้วย
 ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยมีทั้งมหาวิทยาลัยที่เป็นของรัฐ มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และมหาวิทยาลัยเอกชน
 
 การศึกษาพิเศษ
การศึกษาพิเศษเป็นการจัดการศึกษาสำหรับผู้ที่มีความต้องการพิเศษ ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องสนับสนุนงบประมาณและสาธารณูปโภคต่างๆเพื่อสนับสนุนการศึกษาในรูปแบบนี้ โดยกลุ่มที่มีความต้องการพิเศษแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เด็กที่มีปัญญาเลิศ ซึ่งจะเน้นการพัฒนาความสามารถและความถนัดเฉพาะของบุคคล อีกประเภทหนึ่งคือเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายหรือสติปัญญา โดยการจัดการศึกษาจะเน้นการเรียนการสอนรายบุคคล ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ในห้องเรียนปกติ รวมไปถึงพัฒนาทักษะการดำรงชีวิตให้กับผู้ที่มีความต้องการพิเศษให้สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้
 การศึกษานอกระบบโรงเรียน
ตามความในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ได้ให้นิยามเกี่ยวกับการศึกษานอกระบบโรงเรียน ความว่าเป็นการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการสำเร็จการศึกษา โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของบุคคลแต่ละกลุ่ม ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนนอกระบบโรงเรียนจะเป็นการจัดให้กับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบโรงเรียนหรือผ่านจากระบบโรงเรียนมาแล้ว โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เข้าศึกษานอกระบบโรงเรียนมักเป็นผู้ใหญ่เป็นส่วนมาก เพื่อเรียนรู้การอ่านออกเขียนได้และนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้กับอาชีพของตัว สำหรับประเทศไทยมีการจัดการเรียนการสอนรูปแบบการศึกษานอกโรงเรียนอยู่เป็นจำนวนมาก โดยนิยมจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ชุมชนหรือศูนย์การเรียนรู้นอกระบบโรงเรียน เพื่อให้ประชาชนเข้ามาเรียนรู้ได้ โดยภายในศูนย์จะมีอาจารย์ประจำและอาจารย์อาสาสมัครเป็นผู้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน[9] นอกจากนี้แล้วการศึกษานอกระบบโรงเรียนยังมีการจัดการศึกษาในรูปแบบอื่นๆด้วย เช่น การศึกษาผู้ใหญ่ การศึกษาชุมชน เป็นต้น
 การศึกษาตามอัธยาศัย
การศึกษาตามอัธยาศัย (Informal Education) โดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ได้ให้ความหมายของการศึกษาตามอัธยาศัยว่าเป็นการศึกษาที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อมและโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สิ่งแวดล้อม สื่อ หรือแหล่งความรู้อื่น[10] ดังนั้นถือได้ว่าการศึกษาตามอัธยาศัยเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้เช่นเดียวกัน สำหรับการเรียนรู้ตามอัธยาศัยสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ การเรียนรู้ด้วยการนำตัวเอง การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญและการเรียนรู้ในชีวิตประจำวัน
 การศึกษาตามอัธยาศัยมักเป็นการศึกษาที่เกิดขึ้นภายนอกห้องเรียน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลักสูตรโดยเฉพาะเจาะจงและมักเกิดขึ้นโดยความบังเอิญ ดังนั้นส่งผลให้การศึกษาในประเภทนี้เกิดขึ้นได้ในทุกๆสถานที่ ทั้งที่บ้าน โรงเรียนและที่อื่นๆ ซึ่งเป็นการศึกษาเพียงรูปแบบเดียวของมนุษย์เท่านั้นที่จำเป็นต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต
การศึกษาในรูปแบบอื่นๆ
การศึกษาทางเลือกเป็นการศึกษาที่มีความแตกต่างจากการศึกษาในกระแสหลัก โดยยึดความต้องการของชุมชนในท้องถิ่นเป็นหลัก ใช้กระบวนการสอนที่มีความหลากหลายรูปแบบ และหยิบยกปรัชญาการศึกษาหลายๆปรัชญาเข้ามาประยุกต์ใช้ โดยการศึกษาในรูปแบบนี้ถือได้ว่าเป็นการศึกษาที่เป็นอุดมคติ และลดบทบาทของการจัดการศึกษาในรูปแบบของโรงเรียนลง สำหรับการจัดการศึกษาทางเลือกนั้นมีทั้งรูปแบบที่เรียนในโรงเรียนการศึกษาทางเลือก โฮมสคูล รวมไปถึงรูปแบบอันสคูลลิ่ง สำหรับโรงเรียนการศึกษาทางเลือกในประเทศไทยยกตัวอย่างเช่น โรงเรียนรุ่งอรุณ เป็นต้น
 นักการศึกษาที่มีแนวคิดเรื่องการศึกษาทางเลือกและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ยกตัวอย่างเช่น รูดอร์ฟ สไตเนอร์ และมาเรีย มอนเตสเซอรี
การศึกษาต่อสายสามัญ (ม.4-ม.6)
การศึกษาต่อของนักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้ว มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อตัวนักเรียนเพราะนั่นจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเส้นทางอาชีพว่าจะเดินต่อไปในทางใด การศึกษาต่อหลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้วการเข้าศึกษาต่อในสายสามัญคือ มัธยมศึกษาปีที่ 46 เป็นการศึกษาในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในช่วงชั้นที่ 4 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นการศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาวิชาต่างๆ ใช้ระยะเวลาในการศึกษาตามหลักสูตรคือ 3 ปีโดยแบ่งการศึกษาออกเป็นกลุ่มสาระต่างๆ ตามความถนัดและความสนใจของนักเรียน คือ
 1.กลุ่มที่เน้นการเรียนรู้ด้าน วิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์(วิทย์-คณิต)
  2.กลุ่มที่เน้นการเรียนรู้ด้าน ศิลปศาสตร์-คณิตศาสตร์ (ศิลป์-คำนวณ)
 3.กลุ่มที่เน้นการเรียนรู้ด้าน ศิลปศาสตร์-ภาษา (ศิลป์-ภาษา)
   4.กลุ่มที่เน้นการเรียนรู้ด้าน ศิลปศาสตร์-สังคม (ศิลป์-สังคม)
คุณสมบัติ
1.สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่า
2.เป็นโสด ไม่จำกัดอายุ
3.มีผลการเรียนตามที่แต่ละโรงเรียนกำหนด
หลักฐานในการสมัครเข้าศึกษา
1.ใบสมัครของโรงเรียนที่จะเข้าศึกษา
2.สำเนาทะเบียนบ้าน
3.สำเนาระเบียนแสดงผลการเรียนหรือหลักฐานแสดงการจบการศึกษาชั้น ม.3 หรือเทียบเท่า
โรงเรียนที่เปิดสอน
1.โรงเรียนมัธยมศึกษาในสังกัดของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
2.โรงเรียนมัธยมศึกษาภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (เช่น โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์)
3.โรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยต่างๆ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
4.โรงเรียนเอกชนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน
การศึกษาต่อสายอาชีวศึกษา
นักเรียนที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้วมีทางเลือกในการศึกษาต่อทางด้านสายอาชีพอีกทางหนึ่ง นั่นก็คือศึกษาต่อในโรงเรียนอาชีวศึกษา ซึ่งใช้เวลาในการศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) 3 ปี โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีหน้าที่โดยตรงในการจัดการศึกษาวิชาชีพ เพื่อพัฒนากำลังคนระดับกึ่งฝีมือ ระดับฝีมือและระดับผู้ชำนาญการเฉพาะสาขาวิชาชีพ (ระดับเทคนิค) ให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน สภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม สามารถเป็นผู้ปฏิบัติงานหัวหน้างานหรือเป็นผู้ประกอบการ และการประกอบอาชีพอิสระได้โดยเน้นการแก้ปัญหาสร้างองค์ความรู้ในอาชีพ มีบุคลิกภาพ คุณธรรมและเจตคติที่ดี หลังจากศึกษาจบแล้วสามารถศึกษาต่อในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) อีก 2 ปี หรืออาจจะศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี 4 ปีก็ได้เช่นกัน
หลักสูตรการศึกษา
เปิดการศึกษาในประเภทวิชาต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. ประเภทวิชาอุตสาหกรรม
 1.1 สาขาวิชาเครื่องกล แบ่งออกเป็น สาขางานยานยนต์ เครื่องกลอุตสาหกรรม เครื่องกลเรือ เครื่องกลเกษตร  ตัวถังและสีรถยนต์
  1.2 สาขาวิชาเครื่องมือกลและซ่อมบำรุง แบ่งออกเป็น สาขางานเครื่องมือกล ซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล เขียนแบบเครื่องกล ชิ้นส่วนเครื่องจักรกลเกษตร แม่พิมพ์พลาสติก แม่พิมพ์โลหะ
    1.3 สาขาวิชาโลหะการแบ่งออกเป็น สาขางานเชื่อมโลหะ อุตสาหกรรมต่อตัวถังรถโดยสาร
   1.4 สาขาวิชาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ แบ่งออกเป็น สาขางานไฟฟ้ากำลัง อิเล็กทรอนิกส์ โทรคมนาคม เมคคาทรอนิกส์ เทคนิคคอมพิวเตอร์
  1.5 สาขาวิชาการก่อสร้างแบ่งออกเป็น สาขางานก่อสร้าง โยธา สถาปัตยกรรม เครื่องเรือนและการตกแต่งภายใน สำรวจ
 1.6 สาขาวิชาการพิมพ์ แบ่งออกเป็น สาขางานการพิมพ์
1.7 สาขาวิชาแว่นตาและเลนส์ แบ่งออกเป็น สาขางานแว่นตาและเลนส์
1.8 สาขาวิชาการต่อเรือ แบ่งออกเป็น สาขางานต่อเรือโลหะ ต่อเรือไม้ ต่อเรือไฟเบอร์กล๊าส นาวาสถาปัตย์ ซ่อมบำรุงเรือ
 1.9 สาขาวิชาผลิตภัณฑ์ยาง แบ่งออกเป็น สาขางานผลิตภัณฑ์ยาง
2. ประเภทวิชาพณิชยกรรม/บริหารธุรกิจ
2.1 สาขาวิชาพณิชยการแบ่งออกเป็น สาขางานการบัญชี การขาย การเลขานุการ คอมพิวเตอร์ธุรกิจ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจสถานพยาบาล การประชาสัมพันธ์ ภาษาต่างประเทศ งานสำนักงานสำหรับผู้พิการทางสายตา
2.1 สาขาวิชาธุรกิจบริการ แบ่งออกเป็น สาขางานการจัดการความปลอดภัย การจัดการความสะอาด
3.ประเภทวิชาศิลปกรรม
3.1 สาขาวิชาศิลปกรรมแบ่งออกเป็น สาขางาน วิจิตรศิลป์ การออกแบบ ศิลปหัตถกรรม อุตสาหกรรมเครื่องหนัง เครื่องเคลือบดินเผา เทคโนโลยีการถ่ายภาพฯ เครื่องประดับอัญมณี ช่างทองหลวง เทคโนโลยีศิลปกรรม การพิมพ์สกรีน คอมพิวเตอร์กราฟิก ศิลปหัตถกรรมโลหะ รูปพรรณและเครื่องประดับ ดนตรีสากล เทคโนโลยีนิเทศศิลป์ ช่างทันตกรรม
4. ประเภทวิชาคหกรรม
4.1 สาขาวิชาผ้าและเครื่องแต่งกายแบ่งออกเป็น สาขางาน ผลิตและตกแต่งสิ่งทอ ออกแบบเสื้อผ้า ตัดเย็บเสื้อผ้า อุตสาหกรรมเสื้อผ้า ธุรกิจเสื้อผ้า
 4.2 สาขาวิชาอาหารและโภชนาการแบ่งออกเป็น สาขางาน อาหารและโภชนาการ แปรรูปอาหาร ธุรกิจอาหาร
4.3 สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์แบ่งออกเป็น สาขางาน คหกรรมการผลิต คหกรรมการบริการ ธุรกิจคหกรรม คหกรรมเพื่อการโรงแรม
4.4 สาขาวิชาเสริมสวยแบ่งออกเป็น สาขางาน เสริมสวย
5. ประเภทวิชาเกษตรกรรม
5.1 สาขาวิชาเกษตรศาสตร์แบ่งออกเป็น สาขางาน พืชศาสตร์ สัตวศาสตร์ อุตสาหกรรมเกษตร ช่างเกษตร เกษตรทั่วไป การประมง
6. ประเภทวิชาประมง
 6.1 สาขาวิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แบ่งออกเป็น สาขางาน เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
6.2 สาขาวิชาแปรรูปสัตว์น้ำ แบ่งออกเป็น สาขางาน แปรรูปสัตว์น้ำ การผลิตซูริมิและผลิตภัณฑ์
6.3 สาขาวิชาประมงทะเล แบ่งออกเป็น สาขางาน ประมงทะเล
7. ประเภทวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
7.1 สาขาวิชาการโรงแรมและการท่องเที่ยว แบ่งออกเป็น สาขางาน การโรงแรม การท่องเที่ยว
8. ประเภทวิชาอุตสาหกรรมสิ่งทอ
8.1 สาขาวิชาเทคโนโลยีสิ่งทอ แบ่งออกเป็น สาขางาน เทคโนโลยีสิ่งทอ
 8.2 สาขาวิชาเคมีสิ่งทอ แบ่งออกเป็น สาขางาน เคมีสิ่งทอ
8.3 สาขาวิชาอุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูป แบ่งออกเป็น สาขางาน อุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูป
9. ประเภทวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
9.1 สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ แบ่งออกเป็น สาขางาน เทคโนโลยีสารสนเทศ
9.2 สาขาวิชาเทคโนโลยีระบบเสียง แบ่งออกเป็น สาขางาน เทคโนโลยีระบบเสียง
10. หลักสูตรประกาศนียบัตรครูเทคนิคชั้นสูง (ปทส.) 2551
10.1 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิชาเอก คอมพิวเตอร์ธุรกิจ
10.2 สาขาวิชาเครื่องกล วิชาเอก เทคนิคช่างยนต์
 10.3 สาขาวิชาเทคนิคการผลิต วิชาเอก เชื่อมและประสาน
10.4 สาขาวิชาโยธา วิชาเอก เทคนิคโยธา
10.5 สาขาวิชาไฟฟ้า วิชาเอก เทคนิคไฟฟ้ากำลัง
10.6 สาขาวิชาไฟฟ้า วิชาเอก เทคนิคไฟฟ้าสื่อสาร
แหล่งข้อมูล : สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
 
เส้นทางสู่อนาคตเมื่อจบม.3
อันดับแรกนักเรียนต้องตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในสายวิชาใดนั้น จะมีความสัมพันธ์และผลกระทบกับการประกอบอาชีพในอนาคต ตำแหน่งงานในบางสาขาอาชีพมีน้อยมาก สถานประกอบการต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยจะรับคนเข้าทำงานเพิ่มขึ้น หรือถ้าจะรับเพิ่มก็จะรับในอัตราที่น้อยมาก คนที่ทำงานอยู่เดิมก็จะพยายามทำงานให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะในสภาพปัจจุบันนี้ถ้าออกจากงานแล้วก็จะหางานทำได้ยากมาก ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในสายวิชาใดหรือสาขาวิชาใดนั้น ควรจะได้พิจารข้อมูลต่าง ๆ ก่อนการตัดสินใจ ดังนี้
 1. ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง นักเรียนจะต้องสำรวจและทำความรู้จักตนเองให้ละเอียดในทุก ๆ ด้าน และควรพิจารณาด้วยว่าคุณสมบัติหรือความเป็นจริงที่ปรากฏกับตนเองในปัจจุบันเหมาะสมที่ไปศึกษาต่อในสายวิชาหรือสาขาวิชาใด เหมาะสมที่จะประกอบอาชีพนั้น ๆ หรือไม่ ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองที่นักเรียนควรพิจารณามีดังนี้
1.1 ความสนใจ คือ นิสัยความเอาใจใส่ในเรื่องราวหรือสิ่งต่าง ๆ นักเรียนต้องค้นให้พบว่าตนเองมีความสนใจหรือความชอบงานในลักษณะใดมากน้อยเพียงใด ถ้าจะไปศึกษา-ฝึกอบรมในสายงานนั้น ๆ จะศึกษา-ฝึกอบรมจนสำเร็จได้หรือไม่ ทำกิจกรรมหรือทำงานนั้น ๆ เป็นระยะเวลาที่ยาวนานหรือทำเป็นประจำได้หรือไม่ สนใจเพียงแต่มองดู-หูฟัง หรือสนใจที่จะลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
1.2 ความถนัด คือ การที่จะทำอะไรดูเข้าที ทำด้วยความคล่องตัว คล่องแคล่ว ว่องไว ทำแล้วดูดีและเหมาะสม หรือมีความสามารถพิเศษในการปฏิบัติหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดีถ้าฝึกปฏิบัติหรือทำกิจกรรมนั้นเสมอ ๆ ก็จะทำให้เกิดความชำนาญในสิ่งนั้น ๆ
1.3 สติปัญญา คือ ความสามารถในการคิดค้นหาเหตุผล คิดได้เป็นเรื่องเป็นราวสามารถสื่อความหมายหรือแสดงให้ผู้อื่นเข้าใจได้ ระดับสติปัญญาอาจใช้ผลการเรียนที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิจารณาได้ในเบื้องต้น แต่จะต้องพิจารณาด้วยว่าการเรียนที่ผ่านมาในอดีตนั้นตั้งใจเรียนมากน้อยเพียงใด มีอะไรที่เป็นปัญหาหรืออุปสรรค์หรือไม่
1.4 ฐานะการเงินของผู้ปกครอง ในการศึกษา-ฝึกอบรมในสายวิชาหรือสาขาวิชาใดก็ตามจะต้องใช้เงินในการจัดซื้ออุปกรณ์การศึกษา ค่าลงทะเบียนเรียน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียนอีกมากมาย สำหรับในข้อนี้นักเรียนจะต้องพิจารณาด้วยว่า ถ้าจะศึกษา-ฝึกอบรมในสาขาวิชานั้น ๆ จะต้องใช้เงินมากน้อยเพียงใด ผู้ปกครองมีเงินพอที่จะส่งเสียให้ศึกษา-ฝึกอบรมได้จนจบหลักสูตรหรือไม่
1.5 สุขภาพและลักษณะของร่างกาย ในการศึกษาเล่าเรียนและการประกอบอาชีพนั้น สุขภาพและลักษณะของร่างกายนับว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่ง กล่าวคือ ถ้าสุขภาพร่างกายและจิตใจผิดปกติหรือไม่เข็งแรงสมบูรณ์ จะมีผลกระทบต่อการศึกษาเล่าเรียนและการประกอบอาชีพไปในทางที่ไม่ดี การศึกษาเล่าเรียนในบางสาขาวิชาหรือบางอาชีพจะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับสุขภาพและลักษณะของร่างกายไว้อย่างชัดเจน เช่น มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ สายตาปกติ ตาไม่บอดสี ส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 145 เซนติเมตร น้ำหนักไม่น้อยกว่า 45 กิโลกรัมเป็นต้น ฉะนั้นในการตัดสินใจที่จะศึกษาฝึกอบรมในสายวิชาหรือสาขาวิชาใดก็ตาม นักเรียนควรจะนำข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและลักษณะของร่างกายมาประกอบการพิจารณาตัดสินใจด้วย
1.6 เพศและอายุ เพศและอายุจะมีความสัมพันธ์กับความคล่องแคล่วว่องไว ความชำนาญ ประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ ความละเอียดรอบคอบ ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ดังนั้นจะพบว่าการรับบุคคลเข้าทำงานในหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือสถานประกอบการของเอกชนบางแห่งจะกำหนดเพศและอายุในการรับบุคคลเข้าทำงาน เพื่อความเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่การงาน
1.7 สัญชาติและเชื้อชาติ สำหรับประเทศไทยได้กำหนดให้อาชีพบางอาชีพ เป็นอาชีพที่สงวนไว้สำหรับคนไทยที่มีสัญญาไทยโดยเฉพาะ เช่น ผู้สมัครเข้าศึกษา-ฝึกอบรมในสถาบันการศึกษาที่ผลิตบุคคลออกมาเพื่อมีอาชีพเป็นทหาร ตำรวจ ต้องมีบิดามารดาที่มีสัญชาติและเชื้อชาติไทย เป็นต้น
 2. ข้อมูลเกี่ยวกับสถานศึกษาที่มุ่งหวังว่าจะเข้าศึกษาต่อ สำหรับข้อมูลเหล่านี้จะประกอบด้วยชื่อสถานศึกษา สถานที่ตั้ง แผนการเรียนหรือสาขาวิชาที่เปิดสอน-ฝึกอบรม วันเวลาสมัครเข้าศึกษา ฝึกอบรม วันเวลาและวิชาที่จะสอบ ค่าใช้จ่ายในการศึกษา-ฝึกอบรม คุณสมบัติของผู้สมัคร ระเบียบข้อบังคับของสถานศึกษาและรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับสถานศึกษานั้น ๆ ข้อมูลดังกล่าวข้างต้น นักเรียนควรศึกษาล่วงหน้า เพื่อจะได้มีเวลาในการคิด-พิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจ
 3. ข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ มีนักเรียนหลายคนที่ยังไม่ทราบว่า อาชีพใด ทำงานอะไรมีรายได้มากน้อยเพียงใด และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบอาชีพนั้น เช่น ความก้าวหน้าในอาชีพ แนวทางในการศึกษา-ฝึกอบรมเพื่อให้มีความชำนาญหรือมีทักษะในอาชีพเพิ่มขึ้น เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้นักเรียนสามารถศึกษาหาความรู้ได้จากงานแนะแนวของโรงเรียน ซึ่งนักเรียนอาจค้นคว้าได้จากเอกสารและ/หรือสอบถามจากอาจารย์แนะแนว
การศึกษาต่อเมื่อจบชั้นม.3
1. กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เน้นวิทย์ -คณิต
นักเรียนที่เลือกเรียนในกลุ่มนี้ควรมีความชอบความสนใจและมีพื้นฐานความรู้ที่ดีในวิชาคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์(ควรมีผลการเรียนเฉลี่ยในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ 3.00 ขึ้นไป) เพราะการเรียนในกลุ่มนี้จะเน้นหนักไปที่วิชาหลักคือคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ( ฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา) และควรมีอุปนิสัยเป็นคนช่างสังเกตชอบการศึกษาค้นคว้าทดลองวิเคราะห์และชอบแก้ปัญหาต่างๆมีความถนัดในการคิดคำนวณอย่างคล่องแคล่วควรมีพื้นฐานความรู้ที่ดีทางวิชาคณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์  มีอุปนิสัยเป็นคนช่างสังเกต  ชอบศึกษา  ค้นคว้า ทดลอง  วิเคราะห์  และชอบแก้ปัญหาต่างๆ  มีความถนัดในการคิดคำนวณอย่างคล่องแคล่ว 
สนใจจะศึกษาต่อสายวิทยาศาสตร์  สาธารณสุข  แพทย์  วิศวกรรมศาสตร์  สถาปัตยกรรมศาสตร์  สถิติศาสตร์  บริหารธุรกิจ  เศรษฐศาสตร์  เกษตรศาสตร์  ประมง  ครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์(คหกรรม  วิทยาศาสตร์)  เป็นต้น
 2. กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เน้นศิลป์ -คณิต
(แผนการเรียนศิลป์ -คำนวณ)
นักเรียนที่เลือกเรียนในกลุ่มนี้ควรมีพื้นความรู้ที่ดีในวิชาคณิตศาสตร์ภาษาอังกฤษและสังคมศึกษาการเรียนในกลุ่มนี้จะเพื่อเรียนคณิตศาสตร์ตัวเดียวกับนักเรียนกลุ่มวิทย์ -คณิตนักเรียนที่เลือกเรียนในกลุ่มนี้ควรมีอุปนิสัยเป็นคนรักการ
อ่านการสำรวจการวิจัยใส่ใจสภาพสังคมเศรษฐกิจการเมืองการปกครองชอบการวางแผนติดตามการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น  มีความคล่องตัว  ในการเขียนหรือพูดโต้ตอบ  กล้าแสดงออก ถ่ายทอดความคิด  ความรู้สึกได้ดี  การสำรวจ - วิจัย  ใส่ใจสภาพสังคม  เศรษฐกิจ  การเมือง  การปกครอง  ชอบการวางแผน
สนใจศึกษาสาขาเศรษฐศาสตร์  บัญชี  บริหารธุรกิจ  ปรัชญา  นิเทศศาสตร์  วารสารศาสตร์  สื่อสารมวลชน  มนุษยวิทยา  สังคมวิทยา  รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์  อักษรศาสตร์  มนุษย์ศาสตร์  ศิลปศาสตร์  จิตวิทยา  สังคมสงเคราะห์  ครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ (ด้านธุรกิจ  พละศึกษา และการศึกษานอกระบบ)  โบราณคดี  บรรณารักษ์ศาสตร์  สารนิเทศน์  นิเทศศาสตร์  วารสารศาสตร์ - สื่อสารมวลชน  นิติศาสตร์  รัฐศาสตร์  ครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์)  เป็นต้น
การเรียนสายอาชีพ สายอาชีพ คือ สายการศึกษาเฉพาะทาง โดยเน้นให้ผู้เรียนที่จบการศึกษาสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประกอบอาชีพ หรือสมัครงานตามสาขานั้น ๆ ได้ ซึ่งถือว่าผู้ที่เรียนจบสาขาวิชานั้น ๆ เป็นผู้มีความรู้พื้นฐานสำหรับประกอบอาชีพนั้น ๆ ได้ เช่น
หลักสูตร ปวช. คือ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ
หลักสูตร ปวส. คือ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง
ระดับ ปวช. เป็นระดับการฝึกวิชาชีพระดับพื้นฐานในงานสายอาชีพนั้น ๆ ซึ่งมีรู้สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ตามความรู้ที่เรียน
ส่วนระดับ ปวส. เป็นระดับความรู้ที่สูงขึ้นจาก ปวช. โดยเน้นความรู้เฉพาะมากขึ้นมีความรู้ความชำนาญพิเศษมากขึ้น
ข้อดีข้อเสียของสายสามัญและสายอาชีพ
สายสามัญ
ข้อดี
1.ความรู้พื้นฐานทั่วไป จะได้มากกว่าสายอาชีพ
2.เลือกเรียนในมหาวิทยาลัยได้ทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเอกชนหรือรัฐ
3.มีโอกาสเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ต่างประเทศ หรือกิจกรรมอื่นๆ ได้มากกว่า(อยุ่ที่ตัวเองและการสนับสนุนของโรงเรียน)
4.สังคมแวดวงเพื่อน จะดีกว่า สายอาชีพ (โดยส่วนใหญ่นะ)
5.อื่นๆ ที่ยังคิดไม่ออก
ข้อเสีย
1.ความรู้เฉพาะด้านอาจไม่แน่นเท่าสายอาชีพ(ในบางกรณี)
2.จบม.6 ถ้าไม่ต่อป.ตรี จะไม่มีความหมายเลย***เน้นๆ
3.สายสามัญส่วนใหญ่จะไม่เจอวิชาชีวิต(ประสบการณ์ต่างๆ การเอาตัวรอด พบเจออะไรแย่ๆ)
เท่าสายอาชีพ(โดยส่วนใหญ่)
4.อื่นๆแล้วแต่จะคิดออก
สายอาชีพ
ข้อดี
1.ความรุ้เฉพาะด้านแน่น ถ้าคนที่เลือกเรียนต่อในสาขาที่เรียนมา
จะได้เปรียบกว่าสายสามัญ เมื่อเข้าไปเรียนในมหาลัย
2.ถ้าไม่เรียนต่อ ก้อไม่เปนไร ยังทำงานได้ ไปสอบราชการก้อได้
ข้อเสีย
1.มีข้อจำกัดในการต่อมหาลัย เพราะมหาลัยรัฐหลายที่หลายคณะที่เขาไม่รับเด็กสายอาชีพ
ถ้าเป็นเอกชนก็แล้วไป
2.สังคมสายอาชีพไม่ค่อยดี เด็กเก เสียส่วนใหญ่
 
 
 
 
อ้างอิง
 1. Dewey, John. Democracy and Education. The Free Press. pp. 1–4. ISBN 0-684-83631-9.
 2. educate. Etymonline.com. Retrieved on 2011-10-21.
 3. "หมวด 3 ระบบการศึกษา". กระทรวงศึกษาธิการ. 4 December 2013.
 4. "คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2546". สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. 4 December 2013.
 5. "รายงานการติดตามผลทั่วโลกเรื่องการศึกษาเพื่อปวงชน". UNESCO. 4 December 2013.
 6. "ประวัติความเป็นมา". สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา. 4 December 2013.
 7. "Special Education". DoDEA. 5 December 2013.         
 8. "หมวด 3 ระบบการศึกษา". กระทรวงศึกษาธิการ. 6 December 2013.
 9. "คัมภีร์ กศน.". สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบโรงเรียนและการศึกษาตามอัธยาศรัย กระทรวงศึกษาธิการ. 6 December 2013.
 10. "หมวด 3 ระบบการศึกษา". กระทรวงศึกษาธิการ. 4 December 2013.
 11. "การศึกษาตามอัธยาศัย: อะไร? ทำไม?และอย่างไร?". วิศนี ศิลตระกูล. 5 December 2013.
 12. "4. นิยาม ความหมาย การศึกษาทางเลือก". เครือข่ายการศึกษาทางเลือก. 5 December 2013.
13 . แหล่งข้อมูล : สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
 
 
 
 
 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น